วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

การพูดในโอกาศต่างๆ


การพูดในโอกาสต่างๆ
เขียนโดย admin เมื่อ พุธ, 05/07/2008 - 08:01.
การพูดในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น นอกจากจะสื่อความรู้ความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว ยังต้องสื่ออารมณ์ ความรู้สึกถ่ายทอดไปสู่กันและกันด้วย ฉะนั้นการพูดจากันนอกจากจะพูดคุยกันตามปกติแล้วยังมีการพูดในโอกาสพิเศษ เช่น การพูดในงามมงคล งานศพ การเข้าสมาคมในโอกาสต่าง ๆ จึงจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องฝึกฝนการใช้คำพูดให้ถูกต้องไพเราะเหมาะสม เหมาะกับเหตุการณ์ การพูดในโอกาสต่าง ๆ ที่ควรทราบ เช่น การพูดแนะนำ การพูดแสดงความยินดี การพูดแสดงความเสียใจ การกล่าวขอบคุณ การกล่าวต้อนรับ การพูดอวยพร การพูดสนทนาทางโทรศัพท์ การพูดเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ๑. การพูดแสดงความยินดีในบางโอกาสผู้ที่เราพบปะหรือคุ้นเคยอาจจะประสบโชคดี มีความสมหวังหรือ มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและการงานเราควรจะต้องพูดแสดงความยินดีเพื่อร่วมชื่นชมในความสำเร็จนั้น๑.๑ วิธีการ๑) ใช้คำพูดให้ถูกต้องเหมาะสม๒) ใช้น้ำเสียง ท่าทาง สุภาพ นุ่มนวล ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส๓) พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ พูดสั้น ๆ ให้ได้ใจความและประทับใจ๑.๒ ตัวอย่าง“ขอแสดงความยินดีกับคุณที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในหมู่บ้านของเรา เลือกคุณด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นมาก ขอให้คุณเป็นผู้นำของพวกเรานาน ๆ สร้างความ เจริญแก่ชุมชนของพวกเราตลอดไปนะครับ ผมดีใจด้วยและขอสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ความสามารถเลยครับ”๒. การพูดแสดงความเสียใจในบางโอกาสญาติพี่น้องหรือคนที่เรารู้จักประสบเคราะห์กรรมผิดหวัง เจ็บป่วย หรือเสียชีวิต เป็นมารยาทที่ดีที่เราควรพูดปลอบใจให้กำลังใจแก่ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านั้น หรือพูดปลอบใจแก่ญาติพี่น้องของผู้เคราะห์ร้ายนั้น เพื่อให้เขาเกิดกำลังใจต่อไป๒.๑ วิธีการ๑. พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นเรื่องปกติ๒. แสดงความรู้สึกห่วงใยร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย๓. พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเศร้าสลดใจ๔. พูดด้วยวาจาที่สุภาพ๕. ให้กำลังใจและยินดีที่จะช่วย๒.๒ ตัวอย่าง"ดิฉันขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งที่ทราบว่าคุณพ่อของคุณถึงแก่กรรมอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้ ท่านไม่น่าจากเราไปรวดเร็วเลยนะ ดิฉันเห็นใจคุณจริง ๆ ขอให้คุณทำใจดี ๆ ไว้ความตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเลย จะให้ดิฉันช่วยอะไรก็บอกมาเลยไม่ต้องเกรงใจ ดิฉันยินดีช่วยด้วยความเต็มใจจริง ๆ นะคะ”
๓. การพูดแนะนำการพบปะบุคคลซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนและบุคคลอื่น ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก่อนที่จะรู้จักกัน ย่อมจะต้องมีการแนะนำให้รู้จักกัน เพื่อคุยเรื่องอื่น ๆ ต่อไป การแนะนำให้รู้จัก กันมีทั้งการแนะนำ ตนเองและแนะนำผู้อื่น๓.๑ การแนะนำตนเอง คือ การกล่าวถึงตนเองให้ผู้อื่นรู้จัก โอกาสในการแนะนำตนเองมีต่าง ๆ ดังนั้น๑) ในการติดต่อกัน๒) ในการประชุม ชุมนุมพิเศษหรืองานเลี้ยงต่าง ๆ๓) ในฐานะเป็นสมาชิกใหม่ของชุมชนหรือสถาบัน๔) ในการเข้าสอบสัมภาษณ์๕) ในการไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นวิธีการพูดแนะนำตนเอง๑) การกล่าวถึงเรื่องต่อไปนี้๑. คำนำคือ กล่าวทักทายผู้ฟังและอารัมภบท เช่น“ท่านประธานและท่านสุภาพชนทุกท่าน”ท่านประธาน พิธีกรและเพื่อนสมาชิก”๒. ชื่อและนามสกุล๓. ถิ่นกำเนิด๔. การศึกษา๕. ความรู้ความสามารถพิเศษ๖. ตำแหน่งหน้าที่การงาน๗. งานอดิเรก (ถ้ามี)๘. หลักหรือแผนการในการดำเนินชีวิต๙. ที่อยู่ปัจจุบันการกล่าวถึงจะมากน้อย หรือจะตัดเรื่องใดออกหรือพลิกแพลง อย่างไรขึ้นอยู่กับสถานที่บุคคลและโอกาสต่าง ๆ ดังกล่าว๒) แทรกเรื่องราวของชีวิตที่เด่นที่สุด ประทับใจที่สุด หรือเรื่องที่ทำให้เรื่องราวมีรสชาติ น่าสนใจ และเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง๓) เรียบเรียงเรื่องราวให้สัมพันธ์กันโดยไม่สับสน การลำดับเรื่องราวเป็นเทคนิคเฉพาะตน๔) ข้อความที่กล่าวจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่บุคคลและโอกาสด้วย
ตัวอย่างการแนะนำตนเองในที่ชุมนุมชนท่านประธาน และสมาชิกชมรมพัฒนาชีวิตทุกท่านดิฉันขอขอบคุณพิธีกรมากค่ะ ที่ให้โอกาสดิฉันได้แนะนำตัวเอง ดิฉันนางสาวสมศรี รัตนสุนทร เกิดไกลหน่อยคืออำเภอปัว จังหวัดน่านค่ะ มาอยู่กรุงเทพฯ นี่ ๔ ปีแล้ว โดยดิฉัน ทำงานเป็นพนักงานขาย ที่ร้านใบแก้ว ดิฉันเรียนจบชั้นมัธยมปีที่สามที่โรงเรียนใกล้บ้าน นั่นเองค่ะ ความที่เป็นคนช่างพูด หลังจากจบแล้วเพื่อนชวนมาทำงานที่ถูกกับนิสัยก็เลยมา และเนื่องจากดิฉันไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ จึงเห็นว่าการศึกษาทางไกลนี้จะช่วยให้ดิฉันพัฒนาชีวิตได้ดียิ่งขึ้นแทนการศึกษาในโรงเรียน จึงสมัครเป็นสมาชิก และต่อไปจะตั้งใจเรียน และร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ทุกกิจกรรมค่ะ ปัจจุบันดิฉันพักอยู่ที่ร้านที่ดิฉันทำงานนั่นแหละค่ะถ้ามีเรื่องใดจะให้ทำติดต่อได้ที่ร้านนั่นเลยสำหรับที่อยู่ของร้าน มีอยู่ในทะเบียนบัญชีรายชื่อ นักศึกษาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ๓.๒ การแนะนำผู้อื่น คือ การแนะนำบุคคลที่ ๓ ให้บุคคลที่ ๒ รู้จักในโอกาสต่าง เช่นเดียวกับการแนะนำตนเอง
วีการแนะนำผู้อื่นใช้หลักการอย่างเดียวกับการแนะนำตนเองและคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้เพิ่มเติมคือ๑) แนะนำสั้น ๆ๒) แนะนำเฉพาะเรื่องที่เป็นปมเด่น เรื่องที่เป็นปมด้อยหรือเรื่องที่ไม่เหมาะสมไม่ควรกล่าวถึง เรื่องที่แนะนำควรได้รับอนุญาตจากผู้ถูกแนะนำก่อน๓) การแนะนำระหว่างสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรี ต้องแนะนำให้สุภาพบุรุษรู้จักสุภาพสตรี โดยกล่าวนามสุภาพสตรี เช่น “คุณสุดาครับ นี่คุณพนัส รักความดี สมุห์บัญชีธนาคารออมสินสาขานนทบุรี คุณพนัส นี่คุณสุดา มณีแก้วครับ สมุห์บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขานนทบุรีในการแนะนำ ถ้าสุภาพบุรุษนั่งอยู่ควรยืนขึ้น แต่สุภาพสตรีถ้านั่งอยู่และได้รับการแนะนำไม่ต้องยืน ถ้าเป็นการแนะนำหลายคนจะนั่งลงเมื่อแนะนำครบทุกคนแล้ว๔) แนะนำผู้อ่อนอาวุโสให้รู้จักผู้อาวุโส โดยเอ่ยนามผู้อาวุโสก่อน เช่น “คุณแม่คะ นี่น้องเพื่อนของลูก” “ผู้จัดการคะ นี่คุณสมพงษ์ ใจซื่อ ประชาสัมพันธ์โรงแรมลานทองค่ะ คุณสมพงษ์คะ นี่คุณสวัสดิ์ เรืองรอง ผู้จัดการบริษัทสมบูรณ์ที่คุณต้องการพบค่ะ”ในเรื่องอาวุโสถือตามวัยวุฒิ บางโอกาสถือตามตำแหน่งหน้าที่การงานผู้แนะนำต้องคำนึงตามโอกาสให้เหมาะด้วย๕) การแนะนำบุคคลต่อที่ประชุมหรือชุมชนต่าง ๆ เอ่ยถึงกลุ่มชนก่อน เช่น “ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผู้พูดช่วงเวลาต่อไปนี้คือ คุณปราโมทย์ พงษ์ทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยนานา ท่านจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และจบปริญญาโททางด้านบริหารการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ประสบการณ์ของท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยนานาและทำหน้าที่บริหารงานมา ๕ ปีแล้วผลิตบัณฑิตจนถึง ๔ รุ่น วันนี้ท่านสละเวลาให้เกียรติมาบรรยายเรื่อง “การศึกษากับการพัฒนาชนบท” เชิญท่านรับฟังแนวคิดของวิทยากรได้แล้วครับ๖) การแนะนำบุคคลรุ่นเดียวกัน เพศเดียวกัน จะแนะนำใครก่อนหลังก็ได้ข้อปฏิบัติสำหรับการแนะนำเมื่อผ่านการแนะนำแล้ว ผู้อ่อนอาวุโสยกมือไหว้ผู้อาวุโส และผู้อาวุโสกว่ารับไหว้ ถ้าอาวุโสเท่าเทียมกันก็ยกมือไหว้พร้อมกัน แต่ปัจจุบันมักก้มศีรษะให้แก่กันพอเป็นพิธีก็ได้ การแนะนำในที่ประชุมเมื่อผู้รับการแนะนำต่อที่ประชุมถูกเอ่ยชื่อ ควรยืนขึ้นคารวะต่อ ที่ประชุมและที่ประชุมปรบมือต้อนรับ
๔. การกล่าวขอบคุณการกล่าวขอบคุณอาจใช้ได้หลายโอกาส เช่น การกล่าวขอบคุณเมื่อผู้พูดหรือวิทยากรพูดจบ กล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้กล่าวต้อนรับ กล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานหรือในกิจกรรมกล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้มอบของขวัญหรือของที่ระลึก ขอบคุณแต่ละโอกาสดังต่อไปนี้๔.๑ การกล่าวขอบคุณผู้พูด เมื่อผู้พูดพูดจบลงผู้กล่าวขอบคุณหรือผู้ที่ทำหน้าที่พูดแนะนำควรจะกล่าวสรุปเน้นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการพูดครั้งนี้อย่างสั้น ๆ แล้วจึงกล่าวขอบคุณ๔.๒ การกล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้กล่าวต้อนรับหรือการกล่าวตอบรับ เมื่อผู้กล่าวต้อนรับ พูดจบแล้ว ผู้กล่าวตอบรับควรจะกล่าวตอบในลักษณะที่แสดงความรู้สึกที่มีต่อการต้อนรับ และเนื้อหา ในการกล่าวตอบรับจะต้อง สอดคล้องกับการกล่าวต้อนรับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความสัมพันธ์ อันดีของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อกัน ผู้กล่าวขอบคุณควรจะเน้นจุดสำคัญ และกล่าวเชื้อเชิญให้ผู้ต้อนรับ ไปเยือนสถานที่ของตนบ้าง๔.๓ การกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมในงานหรือในกิจกรรม ในการกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมในงาน หรือในกิจกรรมนั้นควรแสดงไมตรีจิตต่อแขกที่มาร่วมในงานแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ และกล่าวขออภัยในความบกพร่อง ของกิจกรรมที่จัดขึ้น๔.๔ การกล่าวขอบคุณหรือตอบรับเมื่อมีผู้มอบของขวัญหรือของที่ระลึก ผู้กล่าวตอบรับควรจะได้แสดงความชื่นชมในสิ่งของที่ได้รับมอบและกล่าวถึงความรู้สึกหลังจากได้รับ มอบสิ่งของนั้นแล้ว
วิธีการกล่าวขอบคุณ๑) การขอบคุณ การพูดหรือขอบคุณ ใช้ในโอกาสที่มีผู้อื่นได้ช่วยเหลือหรือมีบุญคุณ แก่เราถือว่าเป็นมารยาทที่จะต้องแสดงความยินดีและกล่าวขอบคุณในน้ำใจของเขา คือ เป็นการแสดงออกถึงการรู้คุณผู้อื่น เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามที่ควรรักษาไว้อย่างยิ่ง๑. คำว่า ขอบใจ นิยมใช้พูดเพื่อแสดงความขอบใจแก่คนที่มีอายุน้อยกว่าเราเช่นพี่ขอขอบใจน้องมากที่ช่วยยกกระเป๋าให้๒. คำว่า ขอบคุณ นิยมใช้พูดเพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับผู้ที่เสมอกันหรือผู้ที่มีอาวุโสกว่าผู้พูด เช่นผมขอขอบคุณคุณนิคมมากที่มาส่งผมที่สถานีรถไฟวันนี้๓. หากต้องการยกย่องเทิดทูนผู้ที่ตนเคารพนับถือมาก ที่ท่านกรุณาช่วยเหลือเรา หรือให้สิ่งใดแก่เราก็ควรกล่าวว่า ขอบพระคุณ เช่นลูกขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่มากที่ซื้อของมาฝาก๔. ควรพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนฟัง สุภาพ ไม่รีบร้อนจนเกินไป๕. ควรแสดงท่าทางที่เป็นมิตร นอบน้อม มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส๖. ควรพูดให้ผู้ฟังรู้สึกว่า เราซาบซึ้งในพระคุณและจะพยายามหาโอกาสที่จะตอบแทนในโอกาสต่อไป๗. หากเป็นการกล่าวขอบคุณในนามตัวแทน หมู่คณะ ควรพูดให้ชัดเจนว่า กล่าวขอบคุณในนามของหมู่คณะใด เนื่องในโอกาสอะไร ขอบคุณใคร พูดให้สั้น กะทัดรัดได้ความดี๘. โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นการขอบคุณผู้ที่เคารพนับถือ หรือผู้มีอาวุโสมากกว่าเราการกล่าวขอบคุณมักจะกล่าวพร้อม ๆ กับยกมือไหว้ด้วยเสมอตัวอย่างการกล่าวขอบคุณ๑) การกล่าวขอบคุณผู้มีอาวุโสกว่าดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของท่านกำนันเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบโต๊ะเก้าอี้ จำนวน๑๐ ชุด แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้ นับเป็นบุญกุศลอันดียิ่งที่เด็ก ๆ จะได้มีโต๊ะ เก้าอี้พอเพียงแก่การศึกษาเล่าเรียน ดิฉันและเด็ก ๆ มีความยินดีในเมตตาจิตของ ท่านกำนันเป็นอย่างมาก จึงขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของท่านกำนัน ไว้ ณ ที่นี้ขอกราบขอบพระคุณค่ะ (พูดจบพร้อมกับยกมือไหว้)๒) การกล่าวขอบคุณในนามหมู่คณะบุคคลผมในนามผู้นำชาวบ้านท่าเวียง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงต่อท่านนายอำเภอ ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากอำเภอทุกท่านที่ได้มาบริการความสะดวกสบายแก่ประชาชนในบ้านท่าเวียงโดยการนำอำเภอเคลื่อนที่มาบริการวันนี้หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องในการต้อนรับขับสู้ผมและชาวบ้านก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยผมและชาวบ้านทุกคนรู้สึก ซาบซึ้งและยินดีในความกรุณาของท่านนายอำเภอและเจ้าหน้าที่ทุกท่านผมในนามชาวบ้านท่าเวียงไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนนอกจากจะขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ (ยกมือไหว้)๕. การกล่าวอวยพรการพูดอวยพร มักใช้ควบคู่ไปกับการแสดงความยินดีหรือแสดงความปรารถนาดี เพราะก่อนจะอวยพรมักต้องแสดงความยินดีมาก่อน หรือถ้าเป็นการกล่าวแสดงความยินดีโดยแท้จริงก็มักลงท้ายด้วยการอวยพรการอวยพรมีหลายโอกาส เช่น ในงานมงคลสมรส งานวันเกิด งานวันปีใหม่ขึ้นบ้านใหม่ ตลอดจนการอวยพรของผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งมักเรียกว่า อำนวยพร (อำนวยอวยพร อวยชัยให้พร ให้ศีลให้พร) แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์ ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ ข้อปฏิบัติโดยทั่วไปในการพูดอวยพรมีดังนี้๑) พูดด้วยท่าทีร่าเริงเป็นการแสดงความยินดีไปในตัว๒) เริ่มต้นด้วยเสียงค่อนข้างดังเล็กน้อย เป็นการเรียกความสนใจเพราะงานชนิดนี้ มักมีเสียงรบกวนมาก ข้อความตอนต้นควรเป็นใจความง่าย ๆ สั้น ๆ๓) ควรดำเนินเรื่องให้เป็นไปตามความเหมาะสม เช่น ถ้าเป็นงานวันเกิด ควรกล่าวถึงความสำคัญในวันเกิด แล้วจึงพูดถึงคุณงามความดี และเกียรติคุณของเจ้าภาพตามสมควร ถ้าเป็นการแต่งงาน ควรเริ่มด้วยการบอกกล่าว ถึงความสัมพันธ์ของท่านกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย ถ้าผู้พูดรู้จักทั้งคู่ ถ้ามีประสบการณ์มากพอควรให้ข้อคิดในชีวิตการสมรส แล้วกล่าวแสดงความยินดีที่ทั้งสองฝ่ายได้สมรสกัน อันจะเป็นการก่อสร้างรากฐาน เป็นครอบครัวที่ดีต่อไป๔) ลงท้ายด้วยการกล่าวคำอวยพร ขอให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าสืบต่อไปการพูดอวยพรถือเป็นการพูดในงานมงคล ไม่ควรจะให้มีถ้อยคำซึ่งไม่น่าปรารถนา (ไม่เป็นมงคล) ในคำกล่าว เช่น ในงานวันเกิด ไม่ควรมีคำว่า “ตาย” “แก่” “เจ็บป่วย” ฯลฯ ในงานสมรสไม่ควรมีคำว่า “แต่งงานใหม่” ฯลฯ อยู่ด้วยจะดีมาก ไม่ควรพูดยืดยาว ซ้ำซาก ควรทักทายที่ประชุมให้ถูกต้องตามลำดับ คำขึ้นต้นควรให้เร้าความสนใจตอนจบใช้ถ้อยคำ ให้ประทับใจ ในเรื่องจะกล่าวถึง การกล่าวอวยพรเฉพาะงานมงคลที่ใช้กันอยู่เสมอ คือ๕.๑ การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส การกล่าวในพิธีมงคลสมรส จะใช้เวลาไม่เกิน ๑๐ นาที โดยปกติจะใช้เวลา ๕ – ๗ นาที นิยมพูดปากเปล่า ซึ่งมีหลักการกล่าวที่ควรยึดเป็นแนวปฏิบัติ ดังนี้๑) กล่าวคำปฏิสันถาร๒) กล่าวถึงความรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้ขึ้นมาอวยพร๓) ความสัมพันธ์ของผู้พูดกับคู่บ่าวสาว๔) ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตและการครองรัก๕) อวยพรและเชิญชวนให้ดื่มอวยพร๕.๒ การกล่าวอวยพรในวันขึ้นปีใหม่ การกล่าวคำอวยพรในวันขึ้นปีใหม่มักจะพูดปากเปล่า โดยมีหลักที่ควรยึดเป็นแนวปฏิบัติในการกล่าวดังนี้๑) กล่าวคำปฏิสันถาร๒) กล่าวถึงชีวิตในปีเก่าที่ผ่านมา๓) กล่าวถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่๔) อวยพร๕.๓ การกล่าวอวยพรวันคล้ายวันเกิด การกล่าวในพิธีดังกล่าวนิยมพูดปากเปล่า มีหลักการที่ควรยึดเป็นแนวการปฏิบัติในการกล่าวดังนี้๑) คำปฏิสันถาร๒) กล่าวรู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสกล่าวคำอวยพร๓) การสร้างคุณงามความดี หรือพูดถึงความสัมพันธ์ที่ผู้พูดมีต่อท่านผู้นั้น๔) การเป็นที่พึ่งของบุตรหลาน๕) อวยพรให้มีความสุขวิธีการกล่าวอวยพร มีข้อปฏิบัติที่ควรจำดังนี้๑. ควรกล่าวถึงโอกาสและวันสำคัญนั้น ๆ ที่ได้มาอวยพรว่าเป็นวันสำคัญอย่างไรในโอกาสดีอย่างไร มีความหมายแก่เจ้าภาพหรือการจัดงานนั้น อย่างไรบ้าง๒. ควรใช้คำพูดที่สุภาพ ไพเราะ ถูกต้อง เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง๓. ควรกล่าวให้สั้น ๆ ใช้คำพูดง่าย ๆ ฟังเข้าใจดี กะทัดรัด กระชับความ น่าประทับใจ๔. ควรกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อวยพรกับเจ้าภาพ กล่าวให้เกียรติ ชมเชยในความดีของเจ้าภาพและแสดงความปรารถนาดีที่มีต่อเจ้าภาพ๕. ควรใช้คำพูดอวยพรให้ถูกต้อง หากเป็นการอวยพรผู้ใหญ่นิยมอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือมาประทานพรตัวอย่างการกล่าวอวยพรวันเกิดวันนี้เป็นวันอันเป็นมงคลยิ่งคือวันเกิดของหลานรักของลุงลุงมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่เห็นหลานโตวันโตคืน ตลอดเวลา๑๐กว่าปีที่ผ่านมาลุงเฝ้าดูความเจริญ ของหลาน ด้วยความชื่นใจ มาวันนี้ครบรอบวันเกิดปีที่ ๑๑ แล้วลุงขอให้หลานรักมีแต่ความสุข ความเจริญ มีอายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักของปู่ย่าตายายตลอดไป
ตัวอย่างการอวยพรคู่บ่าวสาวสวัสดี……ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่านผมรู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติ จากเจ้าภาพให้ขึ้นมากล่าวในวันนี้ ผมขอกล่าวจากความรู้สึกที่ได้มา พบเห็นงานมงคลสมรสในวันนี้ ผมประทับใจมากที่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทั้งคู่มีความเหมาะสมกันดีมาก ทั้งผมเองก็เป็นผู้ที่เคย ทำงานร่วมกันมาทั้งสองคน รู้สึกชอบพออัธยาศัยเป็นอย่างดีและ เห็นว่าทั้งคู่ มีความเข้าอกเข้าใจ ซื่อสัตย์ รักมั่นต่อกันมานานปี เมื่อมางานมงคลสมรสครั้งนี้จึงมีความปลื้มปีติเป็นอย่างมากที่ทั้งสองมีความสมหวังสมปรารถนาด้วยกัน ผมหวังว่าทั้งสองจะครองรักกันให้มั่นคงจีรังได้นานแสนนาน จึงขออวยพรให้คู่บ่าวสาว จงรักกัน เข้าใจกัน ทะนุถนอมน้ำใจ มีความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกันและรู้จักให้อภัยต่อกัน ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขทุกคืนทุกวัน สวัสดีครับ ……๖. การกล่าวต้อนรับในโอกาสที่มีผู้มาใหม่ เช่น เจ้าหน้าที่ใหม่ นักศึกษาใหม่ หรือผู้ที่มาเยี่ยมเพื่อ พบปะชมกิจการ ในโอกาสเช่นนี้จะต้องมีการกล่าวต้อนรับเพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรีและแสดง ความยินดี ผู้กล่าวต้อนรับควรเป็นผู้มีฐานะ มีเกียรติเหมาะสมกับฐานะผู้มาเยือน ถ้าเป็นการ กล่าวต้อนรับนิสิตหรือนักศึกษาใหม่ก็มุ่งหมายที่จะให้ความอบอุ่นใจ และให้ทราบถึง สิ่งที่ควรปฏิบัติร่วมกันในสถานศึกษานั้น ๆ เป็นต้น การกล่าวต้อนรับควรยึดแนวปฏิบัติดังนี้๖.๑ เริ่มด้วยการกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับผู้มาใหม่ (ผู้มาเยี่ยม หรือผู้มาร่วมงาน)๖.๒ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการเยี่ยมเยือน เพื่อให้เห็นว่าฝ่ายต้อนรับนั้นเห็นความสำคัญของการเยี่ยม ถ้าเป็นผู้ร่วมงาน ก็ควรกล่าวถึงหน้าที่การงาน กิจการในปัจจุบันที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับผู้มาใหม่ ถ้าเป็นนิสิตหรือนักศึกษาใหม่ ก็ควรชี้ให้เห็นคุณค่าและความจำเป็นที่จะต้องศึกษาวิชาต่าง ๆ แนะนำให้รู้จักสถานศึกษา รวมทั้งให้รู้สึกภูมิใจที่ได้มาศึกษาในสถานศึกษาแห่งนั้น๖.๓ แสดงความหวังว่าผู้มาเยี่ยมจะได้รับความสะดวกสบายระหว่างที่พำนักอยู่ในสถานที่นั้น หรือระหว่างการเยี่ยมเยือนนั้น๖.๔ สรุปเป็นทำนองเรียกร้องให้อาคันตุกะกลับมาเยี่ยมเยือนอีก ส่วนในกรณีที่เป็นผู้มาใหม่ก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกันตลอดไปด้วยความราบรื่นวิธีการกล่าวต้อนรับ๑. ควรกล่าวต้อนรับสั้น ๆ และไม่ควรพูดเกิน ๑๕ นาที๒. ในกรณีผู้มาเยี่ยมนั้นมาเป็นกลุ่มในนามของสถาบัน เช่น องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเยี่ยมองค์การนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้กล่าวต้อนรับ จะกล่าวแสดงความยินดีและกล่าวอ้างถึง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองสถาบัน พร้อมทั้งย้ำถึงความร่วมมือของสถาบันทั้งสองในโอกาสต่อไปด้วย จะจบด้วยการสรุปตามหลักข้างต้นก็ได้
๗. การพูดสนทนาทางโทรศัพท์การติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์นับเป็นการสื่อสารที่รวดเร็ว สะดวก ประหยัดและแทบจะใช้ได้ทั่วโลกอย่างไม่จำกัดพื้นที่ จึงเป็นการสื่อสารที่นิยมกันมากที่สุด การพูดโทรศัพท์มีความสำคัญและมีบทบาทอย่างมากในการดำรงชีวิต ดังนั้นควรต้องระมัดระวังการใช้คำพูดในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ควรได้มีการศึกษาที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมารยาท ประเพณีปฏิบัติที่ควรทำในขณะติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักดังนี้ภาษาที่ใช้ในการพูดโทรศัพท์ การพูดโทรศัพท์ควรใช้ภาษาให้เหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้๗.๑ กล่าวทักทายเมื่อรับโทรศัพท์ด้วยคำว่า “สวัสดี” พร้อมทั้งแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบ และถามความประสงค์ของผู้ที่โทรมาว่าต้องการติดต่อกับใคร เรื่องอะไร แล้วรีบติดต่อให้ทันที หากผู้ที่ต้องการติดต่อไม่อยู่ ก็ถามความประสงค์ของผู้ที่โทรว่าต้องการฝากข้อความ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกลับได้ภายหลังหรือไม่๗.๒ กรณีที่เราเป็นผู้ติดต่อไป ควรตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ให้ถูกต้องเสียก่อน และระบุชื่อผู้รับให้ชัดเจน หากต้องขอร้องให้ผู้รับสายไปตามให้ ต้องขอบคุณผู้รับสายทันที ในกรณีที่ต้องฝากข้อความหรือเบอร์โทรกลับ ควรเป็นข้อความที่ชัดเจนและสั้นที่สุด๗.๓ การพูดโทรศัพท์ควรใช้เวลาจำกัด พูดคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นโดยเฉพาะโทรศัพท์สาธารณะหรือโทรศัพท์ที่มีผู้ใช้ร่วมด้วยหลายคน เช่น หน่วยงาน องค์การ บริษัท และควรใช้ภาษาน้ำเสียงที่ชัดเจน สุภาพและเป็นมิตร๗.๔ ใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม เลือกคำที่จำเป็นมาใช้ เช่น ขออภัย ขอโทษ ขอบคุณ กรุณา ฯลฯ๗.๕ ในกรณีมีผู้โทรมาผิด ควรบอกสถานที่ที่ถูกต้องให้ทราบหรือถ้าเราโทรไปผิดก็ควรจะกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพ๗.๖ ในขณะโทรศัพท์หากมีความจำเป็นต้องหยุดพูดชั่วขณะต้องบอกให้ผู้ที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ทราบและขอให้รอ เช่น กรุณารอสักครู่นะครับ๗.๗ ไม่ควรวางหูโทรศัพท์ก่อนจบการพูดและไม่ควรปล่อยให้ผู้โทรศัพท์มาคอยนาน๗.๘ ไม่อม ขบเคี้ยวอาหารขณะโทรศัพท์๗.๙ ไม่ปล่อยโทรศัพท์เรียกสายนานเกินไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น